พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" เมื่อวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" เมื่อวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558

วันที่นำเข้าข้อมูล 25 ส.ค. 2558

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565

| 2,899 view
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
 

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 เวลา 20.15 น.

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้ไปเป็นประธาน ในพิธีบวงสรวงมหามังคลาภิเษก พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม ณ มณฑลพิธีอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งทางอุทยานราชภักดิ์ ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์แห่งสยาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ทรงสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ อุทยานแห่งนี้ก่อตั้งในพื้นที่กองทัพบก จำนวน 222 ไร่เศษ มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ 7 พระองค์ สร้างในพระอิริยาบถทรงยืน ความสูงประมาณ 13.9 เมตร หรือ 7.9 เท่าของคนจริง หล่อด้วยเนื้อสำริดนอก ประดิษฐานบนแท่นบนลานอเนกประสงค์ ประมาณ 90,000 ตารางเมตร ซึ่งนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังจากนี้แล้วจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมฟรีได้ทุกวัน สวยงาม น่าภาคภูมิใจผมขอเชิญชวนให้พ่อแม่พี่น้องหาโอกาส ไปเยือน ไปพักผ่อน พาลูกหลานไปศึกษา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติเรา

พ่อแม่พี่น้องชาวไทยครับ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือ สามัคคีกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านห้วงเวลาแห่งความเลวร้ายมาด้วยกัน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรม ที่ต้องการสร้างความหวาดกลัว ทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชนและภาพลักษณ์ของประเทศของเรา บ้านของเรา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย รัฐบาลยืนยันที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ในปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก ก็ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน มีความเชื่อมั่น และตั้งอยู่ในความมีสติ

ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านคงได้เห็นข้อความต่าง ๆ ที่แสดงความเป็นห่วง เป็นกำลังใจ หรือแสดงพลังของคนไทย รวมถึงข้อความแคมเปญของรัฐบาล “OUR HOME OUR COUNTRY STRONGER TOGETHER” หรือ “เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่ คือ ประเทศของเรา บ้านของเรา” ในสื่อต่าง ๆ ทุกข้อความมีวัตถุประสงค์ที่ดี ใครอยากใช้อันไหนก็ใช้ ไม่อยากให้ยกมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะขัดแย้งกันอีก เพราะจากนี้ต่อไปเราต้องสามัคคีกัน จับมือกัน เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ความสามัคคีของคนไทยจะทำให้ประเทศของเราแข็งแกร่ง บ้านของเราแข็งแรง สามารถเติบโตและผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ไปได้ ใช้ได้ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในช่วงนี้ ต่อไปนั้น เราคงต้องร่วมมือ ร่วมใจกันมากกว่าเดิม ช่วยเหลือกันในทุก ๆ เรื่องสามัคคีกันไว้ เราต้องสร้างประเทศด้วยมือของเราเอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีคนดี คนมีน้ำใจ มีคุณธรรม มากกว่าคนไม่ดี เราต้องช่วยกัน เอาความดีชนะความไม่ดีให้ได้

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่าน ให้ใช้วิจารณญาณ ในการส่งต่อ ข่าวสาร ข้อมูล รูปภาพผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความเสียหายในสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งภาพผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติ หรือซ้ำเติมกับบุคคลเหล่านั้น รวมทั้งเป็นการขยายความรุนแรงขึ้นไปอีก

อีกประการหนึ่ง คือไม่ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงใด ๆ เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นจะต้องเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ให้ได้ กันประชาชน สื่อ ออกจากพื้นที่เกิดเหตุไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องความปลอดภัย การเก็บวัตถุหลักฐาน เพื่อนำไปสู่การสืบสวน สอบสวน อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนสามารถและควรทำในตอนนี้ คือ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ เผยแพร่สิ่งที่ดีงามของประเทศเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้คนไทยกันเอง และสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจกับต่างประเทศ หยุดหรือเลิกเผยแพร่ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนก และการสร้างความแตกแยกในจิตใจของคนไทยด้วยกัน หลายท่านคงทราบแล้ว เรื่องที่สำนักข่าวเยอรมันแห่งหนึ่ง ได้เสนอข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ ในเชิงสร้างสรรค์ ได้พูดถึงการแสดงถึง “ความมีน้ำใจของคนไทย” ว่าทันทีหลังเกิดการระเบิด ก็มีคนไทยแถวนั้น วิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที

ขณะเดียวกัน ก็มีคนไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการประกาศหาล่ามภาษาจีนสำหรับสื่อสารกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ก็มี “จิตอาสา” มาช่วยเป็นจำนวนมาก ส่วนวินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์เอง ก็เสนอรับส่งผู้โดยสารฟรี นับเป็นเสียงสะท้อนจากชาวต่างชาติที่น่าภูมิใจ ถึงน้ำใจของคนไทยที่รักสามัคคี และมีน้ำใจพร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังมีอีกหลาย ๆ อย่าง ที่อาจจะพูดไม่หมด มีมากมายที่พี่น้องทุกคน ประชาชนทุกคน สามารถทำได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคีของคนไทย ที่ต้องการเห็นความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองกลับคืนมาสู่บ้านเกิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยว ทำให้เขากลับไปบอกคนที่ประเทศเขาว่า “ประเทศไทยน่าไปเที่ยว คนไทยน้ำใจดี มีน้ำใจที่เอื้ออาทร” เหมือนกับที่นายโทนี่ แอ็บบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาฯ เชิญชวนให้ชาวออสเตรเลียเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยต่อไป อย่ายอมจำนนต่อผู้ใช้ความรุนแรง

เนื่องจากผู้ที่วางระเบิดตามเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก ทำเพื่อสร้างความหวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ ดังนั้น ประชาชนไม่ควรตกใจกลัวจนเกินไป หรือยอมถูกข่มขู่ด้วยการกระทำเช่นนั้น เราสามารถจะดำเนินชีวิตตามปกติ โดยเพิ่มความระมัดระวัง มีความช่างสังเกตมากขึ้น ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ในการแจ้งสิ่งที่ผิดปกติต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เราก็จะเป็นโอกาสดีที่เราจะพยายามเลิกเป็นที่เรียกว่า “สังคมก้มหน้า” ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดีกว่า เฝ้าระวังภัยให้สังคม ไม่ใช่ไม่สนใจก้มมองมือถือตลอดเวลา เห็นอะไรผิดปกติ สิ่งของไม่มีเจ้าของวางทิ้งไว้ หรือคนที่ดูมีพิรุธโดยเฉพาะในพื้นที่ผู้คนพลุกพล่าน ก็ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที อย่าเข้าไปตรวจสอบเอง

ด้านการช่วยเหลือเยียวยา และการจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตชาวไทย กรุงเทพมหานคร จะเป็นหน่วยงานที่รับแจ้งคำร้อง โดยจะประสานกับกระทรวงยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อชาวไทยตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1111 สำหรับชาวต่างชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะให้การดูแลด้วยเงินจาก “กองทุนประกันภัยนักท่องเที่ยว” ที่รัฐบาล หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จัดตั้งขึ้นมา 200 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ติดต่อไปยังสถานทูตต่าง ๆ หรือสามารถมาติดต่อโดยตรงสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วน 1155

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ ในส่วนที่ไม่สามารถเบิกตามสิทธิ์ได้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้องคมนตรีเชิญดอกไม้พระราชทานไปมอบให้แก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

สำหรับผู้เสียชีวิตชาวไทย ได้ทรงพระราชทานค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพ รายละ 90,000 บาท สำหรับชาวต่างประเทศที่บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เอกอัคราชทูตนำพระราชสาส์นแสดงความเสียใจและดอกไม้ส่วนพระองค์ไปมอบให้

ผมและรัฐบาล ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจ ให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มแพทย์อาสาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เสียสละมาช่วยดูแล รักษาผู้บาดเจ็บ ตลอดทั้งคืนที่เกิดเหตุ และที่สำคัญขอขอบคุณประชาชนทุกคน ที่ได้แสดงออกถึงความรักสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในยามที่พี่น้องร่วมชาติ และมิตรจากต่างประเทศ ต้องการความช่วยเหลือ และต้องขอขอบคุณในการแสดงความเสียใจ จากผู้นำประเทศหลายประเทศที่มีต่อรัฐบาล ประชาชนคนไทย และประเทศไทยด้วย ด้วยความรู้รักสามัคคีนี้ รัฐบาลและ คสช. มั่นใจว่า เราจะสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน เราจะเดินหน้าต่อไป ไม่ยอมสะดุด หรือหยุดรออีกต่อไป เพราะประเทศไทยเรานั้น เสียเวลา เสียโอกาส มามากแล้ว

ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงในการทำหน้าที่  “คนไทยรักชาติ” ไม่ยอมให้ใครมาทำลาย ทำร้ายแผ่นดินเกิดของเรา ร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการแสดงความเข้มแข็ง ด้วยพลังสามัคคี ช่วยประชาสัมพันธ์แคมเปญ “Our Home Our Country Stronger Together” การส่งต่อสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น ถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเป็นการหยิบยื่นน้ำใจ เป็นการเติมกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน

สำหรับนโยบายที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งผลการดำเนินงานจนถึงปัจจุบัน เป็นที่น่าพึงพอใจในระยะแรก จากผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศ มีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น และดีที่สุดในรอบ 6 ปี สามารถช่วยให้รัฐบาลลดการสูญเสียเงินไปกับการคอร์รัปชั่น ได้เกือบ 2 แสนล้านบาท เม็ดเงินงบประมาณในโครงการต่าง ๆ ถึงมือประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านขบวนการคอร์รัปชั่น สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ามากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ยังมีพูดให้ร้ายข้าราชการ รัฐมนตรี รัฐบาล ในสิ่งที่อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะรัฐบาลนี้ไม่เปิดโอกาสให้มีการสมยอมเกิดขึ้น ไม่มีการช่วยเหลือเป็นพิเศษใด ๆ กับทุกโครงการ หากยังมีเล็ดลอดไปได้อยู่นั้น ขอให้แจ้งเบาะแสเพื่อจะได้ตรวจสอบโดยทันที

ที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้ปล่อยปละละเลยกับปัญหานี้มานาน ประชาชนเคยชินกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่มีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายไม่มีการปรับปรุงกฎ ระเบียบให้รัดกุม ไม่มีกลไกในการกำกับดูแลกิจการ การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ปล่อยให้มีการให้สินบน สินน้ำใจ ของกำนัล รางวัลต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการจ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ในภายหลัง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นปัญหาที่ทำลายชาติ ทำร้ายประชาชนทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควร ผลการสำรวจนี้ ถือเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงาน และเป็นข้อมูลให้แก่รัฐบาลในการดำเนินนโยบายที่ชัดเจนในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นในทุกระดับ ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชั่นต่อไป เพื่อกำจัด “สนิมเนื้อใน” ที่กัดกินประเทศ ในช่วงนับ 10 ปีที่ผ่านมาให้ได้ โดยหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยจะให้กำลังใจ และร่วมแรงร่วมใจกัน กำจัดการคอร์รัปชั่นให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยของเรา นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยจะไม่แก้ปัญหาในลักษณะที่ไม่สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน และภาคธุรกิจ ทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้กับภาระรุ่นหลานต่อไป

สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนเพื่ออนาคต ที่สำคัญได้แก่ โครงการเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วปานกลาง ไทย – จีน 160 – 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทาง 873 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง คือ กรุงเทพฯ – แก่งคอย 133 กิโลเมตร แก่งคอย – มาบตาพุด 246.5 กิโลเมตร แก่งคอย – นครราชสีมา 138.5 กิโลเมตร  และนครราชสีมา – หนองคาย 355 กิโลเมตร จะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง และจะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ – แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย – นครราชสีมา ก่อน ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้

ด้านการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ในลักษณะ Special Purpose Vehicle (SPV)  ฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 ทั้งนี้ มีการประมาณการว่าจะมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99 สำหรับด้านงานก่อสร้างจะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction (EPC)  ฝ่ายจีนรับผิดชอบด้านการสำรวจออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทยเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด ด้านการลงทุนและงานโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเองในงานชั้นฐานที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วนงานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการงานระบบ งานอาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถและซ่อมบำรุง

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง มีจำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่  672 กิโลเมตร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย – ญี่ปุ่น อยู่ในขั้นการศึกษา มีแผนการดำเนินการวางไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่วมสำรวจและออกแบบ สำหรับอีก 2 เส้นทางคือ กรุงเทพฯ – ระยอง 193.5 กิโลเมตร และกรุงเทพฯ – หัวหิน 211 กิโลเมตร มีความคืบหน้า ดังนี้ ด้านการลงทุน จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยการรถไฟอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษาเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติโครงการ ก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไป ด้านการใช้ประโยชน์ที่จะได้รับ โดยคาดว่าในระยะแรก จะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศแล้ว ที่เรามีโครงการจัดทำโครงข่ายเส้นทาง ไทย–ลาว–จีน ยังเป็นการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืนอีกด้วย  เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ และช่วยในการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่ภูมิภาคอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ผู้นำของแต่ละประเทศ ผมได้ปรึกษาหารือกันแล้ว จัดทำแผนเรียบร้อยแล้ว ที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไร ทั้งถนน และทางราง ทุกประเทศได้มีการหารือร่วมกันจัดทำแผนสรุปมาได้ชัดเจน มีแผนการดำเนินการที่เห็นชอบทุกอย่าง ก็อยู่ที่ว่าจะดำเนินการได้อย่างไร หาทุนก่อสร้างได้ที่ไหน จะร่วมมือกันอย่างไร วิธีการต่าง ๆ มีรายละเอียดทั้งหมด ไม่ใช่นึกจะสร้างก็สร้าง สร้างได้ง่าย แล้วก็เป็นภาระมาก ๆ แล้วความคุ้มทุน ความคุ้มค่าไม่ดีเท่าที่ควร สิ่งเหล่านี้ต้องพิจารณา เพราะฉะนั้นหลายคนก็ใจร้อนบอกว่าประกาศมาเกือบจะ 2 ปี แล้ว ไม่เห็นสร้างสักที ก็เพราะปัญหาดังกล่าวนี้ มีการเจรจามา 6 ครั้งแล้ว ต่อไปก็ต้องมาดูเรื่องของการทำ EIA  ประชาวิจารณ์ ประชาชนที่บุกรุกเส้นทางเดิมอยู่แล้วจะทำอย่างไร เขาก็สร้างในแนวทางเดิมเกือบทั้งหมด มีบางเส้นที่สร้างใหม่เท่านั้นเอง ปรากฏว่าเส้นทางรถไฟเดิมมีประชาชนที่ไปบุกรุกอยู่ แล้วเขาก็เดือดร้อน เขาไม่ยอมให้เราสร้าง  ต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นเกิดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น รัฐบาลจะดูแลให้ หาที่อยู่ที่อาศัยให้ และหาประโยชน์ที่เขาจะได้รับในการค้าขายอะไรต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่มาก่อน ทั้งที่ผิดกฎหมาย ผมขอย้ำตรงนี้ไว้

สำหรับนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ SME รัฐบาลนี้ทำทุกอย่าง ทั้งกฎหมาย ทั้งการจัดกลุ่ม SME การจัดหากองทุน การให้ความรู้ Matching ต่าง ๆ ทั้งหมด และเริ่มมีตลาดกลางของชุมชนในท้องถิ่น ตามโมเดลของ “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม” ข้างทำเนียบรัฐบาล ปัจจุบันก็ได้รับการเรียกร้อง ผมได้ขยายผล ไปสู่การจัด “ตลาด 4 มุมเมือง” ที่ ปากเกร็ด กรมชลประทาน จังหวัดนนทบุรี จุดที่ 2 อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 3. คลองหลวง สำนักงานสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี และ (4) ถนนอุทยาน เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร “ตลาด 4 มุมเมือง” เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ได้มีพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้า นำเสนอสินค้าที่ดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก และสามารถจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ในราคายุติธรรม รวมทั้ง เพื่อส่งเสริมการขายของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นเวทีแลกเปลี่ยนพบปะระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค และแหล่งเงินทุน (SMEs) โดยมุ่งหวังให้กิจกรรมดังกล่าว เป็น “ความสุขในการจับจ่าย สินค้าปศุสัตว์ปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค”

โดยนำร่องด้วยตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ปากเกร็ด” ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม – 16 กันยายน 2558 ในห้วงเวลา 10 โมงเช้า – 1 ทุ่ม ภายในงานนอกจากจะมีการจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ สินค้าทั่วไปแล้ว ยังมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโครงการหลวง โครงการพระราชดำริ โครงการศิลปาชีพอีกด้วย และสำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม  “อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ” เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีกำหนดจัดขึ้นเดือนหน้า ระหว่างวันที่ 4 – 20 กันยายน 2558

อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการกล่าวถึงในสื่อว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการช่วยเหลือ SMEs ซึ่งคงไม่เป็นธรรมกับเรามากนัก เพราะเราทำมามากมาย เพียงแต่ว่าเวลารวดเร็วมากก็ไม่ได้ หลายท่านผมก็อยากจะถาม SMEs ที่บ่นว่ารัฐบาลไม่ดูแล ท่านได้มาหาส่วนราชการเขาหรือไม่ เขาชี้แจงหรือเปล่าว่าท่านอยู่ในหลักเกณฑ์หรือไม่อย่างไร อย่าไปบ่นข้างนอกแล้วก็ไม่มาหาเรา บางครั้งผมตรวจสอบหลายครั้ง เขายืนยันว่า หลาย SMEs ไม่เข้าเกณฑ์ ไม่มีความมั่นคง ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะฉะนั้นเมื่อให้การสนับสนุนไปก็จะศูนย์เปล่า  ก็จะกลายเป็นหนี้ศูนย์มากมาย

เพราะฉะนั้นต้องร่วมมือกันว่าจะทำอย่างไร ต้องฟัง ถ้าเขาให้ปรับเปลี่ยนอย่างไรถึงจะสามารถกู้ได้ ก็ต้องปรับเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อยากจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งหมด ถ้าทำอย่างนั้นก็ขายได้แค่นั้น แล้วเงินทุนเราก็ให้ไม่ได้ ต้องมีกติกา ไม่ใช่ว่าทุกคน ทุก SMEs ต้องได้ทั้งหมด ใครไม่ได้ก็โวยวาย เป็นแบบนี้ทุกเรื่อง ประเทศไทย ใครได้ก็ไม่บ่น ใครไม่ได้ก็บ่น ก็ร้องเรียน ร้องทุกข์ทำให้วุ่นวายไปหมดทุกเรื่อง

วันนี้ SMEs เราจัดกลุ่มไว้ 3 – 4 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มไหนให้ก่อน กลุ่มไหนให้หลัง ถ้าหากว่าเรารู้ตัวเองโดยการประเมินของส่วนราชการ ก็ให้เขาประเมินมา และท่านก็ปรับปรุงตัวของท่านเอง วันหน้าเขาก็ให้ท่านได้ เกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นขึ้น ถ้าหากเราให้ทุกพวกทุกกลุ่ม ทั้งมีศักยภาพบ้าง ไม่มีศักยภาพบ้าง แล้วรัฐจะเอาเงินจากที่ไหนมากมาย ตั้ง 2,600,000 แห่ง ตัวเลขกลม ๆ

สำหรับนโยบายสร้างความเข้มแข็งภาคครัวเรือน และวินัยการออม รัฐบาลได้จัดตั้ง “กองทุนการออมแห่งชาติ” (กอช.) ที่ได้เปิดตัว เปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อวานนี้ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีสมาชิกคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า รอการจัดตั้งกองทุนนี้มา 10 ปีแล้ว ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำได้สำเร็จ เป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจและดีใจ เราก็พยายามจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องรอกฎหมายด้วย อะไรด้วย กฎหมายลูก พ.ร.บ. มีมานานแล้ว เพราะฉะนั้นกองทุนนี้เป็นกองทุนการออม เพื่อผลระยะยาวสำหรับภาคประชาชน และช่วยเหลือประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ ได้สร้างหลักประกันหลังเกษียณของตนเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25 ล้านคน ทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดเด่นของ กอช. คือ (1) เป็นการออมโดยความสมัครใจ (2) มีความยืดหยุ่นในการออม (3) สมาชิกได้รับคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ หากเสียชีวิตก่อนเงินในบัญชีจะหมด เงินสะสมและเงินสมทบทั้งหมดจะโอนให้ทายาท (4) รัฐบาลรับประกันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน และ (5) ได้รับบำนาญตลอดชีวิตแม้ว่าเงินสะสมไว้จะหมด เงื่อนไขการสมัครติดต่อได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสินทุกสาขา ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว

รัฐบาลก็มีภาระอยู่แล้วในการจ่ายสมทบให้ตามสัดส่วนของอายุผู้สมัคร ซึ่งเป็นเงินที่มากพอสมควร ไม่เป็นไร รัฐบาลก็ต้องพยายามทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมาดูแลพ่อแม่พี่น้องสมทบไปด้วย ถ้าทุกคนร่วมกันมีจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมแบบนี้ทุกอย่างไปได้ดีหมด ในเรื่องกิจการอื่น ๆ ด้วยก็ตาม เรื่องของกองทุนเราสามารถนำไปประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกลับมาเป็นเงินหมุนเวียนสมทบไปเรื่อย ๆ จะได้ลดภาระงบประมาณของรัฐบ้าง

การที่ประเทศไทยของเราจะพัฒนาต่อไปได้นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในระบบวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผมอยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละภาคส่วน นำมาบูรณาการรวมกันเพื่อการวิจัยและพัฒนาหานวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ให้นำไปสู่การผลิตและใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีขีดความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากรที่เพียงพอ ที่จะกระตุ้นให้การวิจัยและพัฒนาของประเทศได้เกิดขึ้นในทุก ๆ ด้าน โดยรัฐบาลนี้ยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่หลายรูปแบบด้วยกัน มีการปรับกฎระเบียบให้หน่วยงานสามารถจัดหาของที่ผลิตในประเทศนี้ได้เอง กำหนดมาตรฐานให้ชัดเจน มีประมาณเกือบ 100 อย่าง ในขณะนี้ที่สามารถผลิตและจำหน่ายได้ ก็ขอให้นำมาใช้ ช่วยกัน

สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องชี้แจงกับพี่น้องประชาชนเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนมีสติ ทำหน้าที่ของตน ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ขอบคุณครับ สวัสดีครับ

…………………………………………………………..

ที่มา : http://www.thaigov.go.th/